สำหรับเพื่อนๆ หลายคนที่คลิกเข้ามาอ่านบทความนี้ แน่นอนว่าก็คงจะต้องรู้จักกับสูตรที่มีชื่อว่า Martingale กันมาก่อนอยู่แล้ว เพราะมันเป็นสูตรเดินเงินที่อาจเรียกได้ว่าได้รับความนิยมมากที่สุดสูตรหนึ่งเลย เป็นสูตรที่ใช้งานได้ง่าย เหมาะกับเกมพนันหลายๆ ชนิด โดยเฉพาะกับเกมไพ่บาคาร่า
และจากความนิยมนั้นเองที่ทำให้สูตร Martingale ได้ถูกนำไปดัดแปลง ปรับลูกเล่นนิดหน่อยจนแตกออกมาเป็นอีก 2 สูตรเดินเงินเพิ่มเติม ได้แก่ “สูตร Super Martingale” และ “สูตร Winning Martingale” นั่นเอง โดยทั้งสองสูตรนี้จะยังคงความเป็น Martingale เอาไว้ การใช้สูตรบาคาร่า เพียงแต่ว่าอาจจะมีการเปลี่ยนหรือเพิ่มกฎบางอย่างเข้ามาเล็กน้อย แต่หากใครเข้าใจเกี่ยวกับสูตร Martingale แบบทั่วไปอยู่แล้ว การจะทำความเข้าใจอีก 2 สูตรนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้วล่ะนะ แต่เมื่อมันมีแยกออกมา ปัญหาที่หลายๆ คนสงสัยก็คือ ตัวเราเองจะเหมาะกับสูตรไหนในสามสูตรนี้กันหนอ? และในวันนี้เราก็จะมาเคลียร์ปัญหาดังกล่าวไปพร้อมๆ กัน แต่ก่อนอื่นเลย เราลองไปทำความรู้จักกับทั้ง 3 สูตรนี้กันนิดๆ หน่อยๆ ก่อนดีกว่านะ 1.สูตร Martingale แน่นอนว่ามันต้องเริ่มจากการพูดถึงสูตร Martingale แบบธรรมดากันเป็นอันดับแรก ซึ่งอย่างที่หลายๆ คนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าสูตร Martingale นั้นจะบังคับให้เรา “เพิ่มเงินเดิมพัน 1 เท่า ทุกครั้งที่แทงแพ้” เป็นกฎที่ช่วยการันตีได้ว่าเราจะได้รับผลกำไรคืนกลับมาอย่างแน่นอนในตอนที่พลิกกลับมาชนะ ตัวอย่างการใช้สูตร Martingale ก็คือ สมมุติว่าเราแทงตาแรก 1 หน่วยแล้วแพ้ ตาต่อไปแทง 2 หน่วย แพ้อีก ตาต่อไปแทง 4 หน่วย แพ้อีก ตาต่อไปแทง 8 หน่วย ยังแพ้อยู่ ตาต่อไปแทง 16 หน่วย แล้วตานี้ก็ชนะจนได้ เราก็จะได้เงินทุนคืนกลับมาทั้งหมด พร้อมกับกำไร 1 หน่วย หลังจากนั้นก็ให้เรากลับไปเริ่มแทงที่ 1 ใหม่อีกครั้ง ถ้าแทงชนะก็ให้แทงเท่าเดิมไปเรื่อยๆ ประมาณนี้ 2.สูตร Super Martingale เห็นแค่ชื่อแล้วเพื่อนๆ ก็คงพอเดากันได้ว่าสูตรนี้จะต้องเป็นอะไรที่สุดยอดกว่าสูตร Martingale แบบปกติอย่างแน่นอน ซึ่งมันก็จริงถ้าหากเราพูดถึงในเรื่องของผลกำไรที่จะได้คืนกลับมา ความเสี่ยงและเงินลงทุนที่สูงยิ่งกว่า เพราะกฎเหล็กของสูตรนี้บอกเอาไว้ว่า “เพิ่มเงินเดิมพัน 1 เท่า และบวกเพิ่มอีก 1 หน่วย ทุกครั้งที่แทงแพ้” สังเกตเห็นความต่างกันมั้ย? มันมีขั้นตอนเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยในกรณีที่เราแทงเสีย คือนอกจากที่เราจะต้องทบ 1 เท่าแล้ว เรายังต้องบวกเพิ่มไปอีก 1 หน่วยด้วย ซึ่งวิธีการนี้จะการันตีได้ว่าเราได้กำไรอย่างแน่นอน และถ้ายิ่งแพ้ติดกัน กำไรที่ได้ตอนพลิกกลับมาชนะก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ยกตัวอย่าง เราแทงตาแรก 1 หน่วย แล้วแพ้ ตาต่อไปแทง 3 หน่วย (2+1) แล้วแพ้อีก ตาต่อไปแทง 7 หน่วย (6+1) แล้วแพ้อีก ตาต่อไปแทง 15 หน่วย (14+1) แล้วยังแพ้อยู่ ตาต่อไปเลยแทง 31 หน่วย (30+1) จนกระทั่งตานี้ชนะ เราก็จะได้เงินทุนคืนกลับมา พร้อมกับ “กำไรตั้งต้น+กำไรจากจำนวนตาที่แพ้ติดกัน” เท่ากับ “1+4” เป็น 5 หน่วยนั่นเอง 3.สูตร Winning Martingale สำหรับสูตรนี้ต้องเรียกว่าตรงกันข้ามกับสูตร Martingale ธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด วิธีการที่ใช้นั้นอาจไม่ต่างกัน แต่มันไปเปลี่ยนตรงว่าต้องใช้ในกรณีไหน อย่าง 2 สูตรก่อนหน้านี้ เพื่อนๆ จะเห็นว่าเราต้องเพิ่มเงินในตอนที่แพ้ แต่สำหรับกฎของสูตร Winning Martingale นั้นมันบอกเอาไว้ว่า “เพิ่มเงินเดิมพัน 1 เท่า ทุกครั้งที่แทงชนะ” แล้วถ้าแทงแพ้ก็ค่อยเริ่มแทงจาก 1 ใหม่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะชนะ เห็นมั้ยล่ะ ตรงกันข้ามจริงๆ โดยมันจะไม่ได้การันตีว่าเราจะได้ผลกำไรอย่างแน่นอน แต่มันทำให้เรามั่นใจได้ว่าเราจะได้กำไรคืนกลับมาเยอะมากๆ ถ้าหากชนะติดกันได้ และจะเสียแค่ 1 หน่วยในตอนที่แพ้เท่านั้นเอง ยกตัวอย่าง ตาแรกเราเริ่มแทงจาก 1 หน่วย แล้วชนะ ตาต่อไปแทง 2 หน่วย ชนะอีก ตาต่อไปแทง 4 หน่วย ชนะอีก ตาต่อไปแทง 8 หน่วย ยังชนะอยู่ จากนั้นจึงหยุดแทง เท่ากับว่าเราได้กำไรมาทั้งสิ้น 15 หน่วยจากเงินทุนแค่ 1 หน่วย ในการแทงเพียงแค่ พอเราหยุดที่ตานี้ ตาต่อไปจึงค่อยเริ่มแทงจาก 1 ใหม่อีกครั้ง เป็นการใช้ทุนบวกกำไรเดิมพันสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ไม่ว่าเราจะแพ้ตาไหน มันก็เท่ากับว่าเราเสียทุนไปแค่ 1 หน่วยเท่านั้นเอง แล้วแบบนี้เราควรใช้สูตรไหนกัน? ขอเริ่มพูดจากสูตรที่ดูต่างจากชาวบ้านมากที่สุด นั่นคือสูตร Winning Martingale ด้วยวิธีการใช้แล้ว สูตรนี้ไม่ได้การันตีว่าเราจะได้รับกำไรที่คงที่ แต่มันจะทำให้เราได้รับกำไรเยอะขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนตาที่เราแทงชนะติดกัน และตอนเสียนั้นเราก็จะเสียทุนแค่ครั้งละ 1 หน่วยเท่านั้นเอง ซึ่งถือว่าเป็นสูตรที่คุ้มค่าต่อการเสี่ยง ความเสี่ยงต่ำแต่อาจได้กำไรทีละสูงๆ ส่วนสูตร Martingale และ Super Martingale นั้น สูตรบาคาร่าออนไลน์ ทั้งสองสูตรนี้มีความเหมือนกันอยู่มากๆ การันตีได้ว่าต่อให้เราแพ้ติดกันมามากแค่ไหน เราก็จะได้กำไรคืนกลับมาในตอนที่ชนะอย่างแน่นอน สิ่งสำคัญคือเราเตรียมเงินทุนไว้มากพอเผื่อโอกาสแพ้ติดกันบ่อยๆ หรือยัง ถ้ามีอยู่แล้ว 2 สูตรนี้ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี ต่างกันเพียงแค่อยากได้กำไรคงที่แค่ 1 หน่วยแบบสูตร Martingale หรืออยากได้กำไรที่เยอะขึ้น แต่ความเสี่ยงและเงินทุนก็อาจต้องเพิ่มขึ้นด้วย อย่างนั้นแนะนำให้ใช้สูตร Super Martingale เลยจ้า
สำหรับบทความนี้จะเป็นการเปรียบเทียบ 3 สูตรเดินเงินบาคาร่าที่มีความน่าสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะกับนักพนันผู้มีเงินทุนอยู่ในปริมาณค่อนข้างเยอะและพร้อมรับความเสี่ยงได้ค่อนข้างมากพอสมควร ซึ่ง 3 สูตรที่เราจะมาพูดถึงกันในวันนี้ก็คือ “สูตร Martingale” , “สูตร Super Martingale” และ “สูตร dAlembert”
โดยก่อนที่เราจะไปดูว่าทั้ง 3 สูตรนั้นมีความใกล้เคียงและแตกต่างกันอย่างไร ก่อนอื่นเราลองไปทำความรู้จักแต่ละสูตรกันพอสังเขปก่อนดีกว่า สูตร Martingale เริ่มจากสูตรที่เชื่อว่าหลายๆ คนคงรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว กับสูตร Martingale สูตรที่เราสามารถเข้าใจได้ด้วยประโยคที่ว่า “ทบเงินเพิ่มอีก 2 เท่าทุกครั้งที่เล่นแพ้” ฟังดูเหมือนจะง่าย แต่พอนำมาใช้จริงแล้ว หากเพื่อนๆ คนไหนไม่มีความพร้อมมากพอก็อาจจะต้องสูญทรัพย์มหาศาลไปได้อย่างรวดเร็วเลยล่ะนะ สำหรับกฎของการใช้สูตรเดินเงิน Martingale นั้นก็อธิบายได้ด้วย 2 ข้อ ดังต่อไปนี้ 1.เริ่มแทงตาแรกจาก 1 หน่วย หากชนะก็ให้แทง 1 หน่วยไปเรื่อยๆ จนกว่าจะแพ้ 2.ถ้าแพ้ ให้แทงทบจากตาก่อนหน้านี้ไป 2 เท่าเสมอ จนกว่าจะชนะจึงค่อยกลับไปเริ่มที่ 1 หน่วยอีกครั้ง ยกตัวอย่าง หากแทงแพ้ติดกัน 10 ตา ลักษณะตัวเลขจะเป็นในลักษณะนี้: 1,2,4,8,16,32,64,128,256,512 และหากตาต่อไปชนะเราก็จะได้เงินทุนทั้งหมดกลับมาพร้อมด้วยกำไรอีก 1 หน่วย หลังจากนั้นก็ให้เราเริ่มเล่นที่ 1 หน่วยไปเรื่อยๆ อีกครั้งจนกว่าจะแพ้ สูตร Super Martingale สูตรเดินเงิน Super Martingale จะเปรียบเสมือนขั้นกว่าของสูตร Martingale แบบธรรมดา เพิ่มกฎเข้ามาอีกเล็กน้อย กล่าวคือ “หากแทงแพ้จะต้องทบเงินเป็น 2 เท่าและบวกเพิ่มอีก 1 หน่วยในตาต่อไป” ซึ่งสำหรับสูตรนี้ถือว่าจำเป็นที่จะต้องใช้ความพร้อม ความเตรียมใจมากกว่าสูตร Martingale แบบธรรมดาเสียอีก กฎการใช้สูตรนี้ก็แทบไม่ต่างอะไรกับสูตร Martingale แบบปกติเลย เพียงแต่ว่าในแต่ละตาที่เราแพ้นั้น นอกเหนือจากที่เราต้องทบตาต่อไปให้เป็น 2 เท่าแล้ว เรายังต้องบวกเงินทุนเข้าไปอีก 1 หน่วยในทุกๆ ครั้งอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราแพ้ติดกัน 10 ตา ตัวเลขของการวางเดิมพันก็จะออกมาในลักษณะนี้: 1,3,7,15,31,63,127,255,511,1023 ซึ่งเราจะเห็นว่าแม้จะแพ้ 10 ตาติดเหมือนกัน แต่สูตรนี้ก็จะต้องลงเงินในแต่ละตามากกว่าสูตร Martingale อย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้าหากเราชนะ กำไรที่ได้นั้นมันจะไม่ใช่แค่ 1 หน่วย แต่มันจะเท่ากับ “1 X จำนวนตาที่เราแพ้ติดกัน” เช่นถ้าเราแพ้ติดกันมา 8 ตาแล้วพลิกมาชนะ เราก็จะได้กำไร 1X 8 = 8 หมายความว่าสมมุติ 1 หน่วยเท่ากับ 100 บาท เราก็จะได้เงินทุนคืนมาทั้งหมด พร้อมกับกำไร 800 บาท แทนที่จะได้กำไรแค่ 100 บาทเหมือนสูตร Martingale แบบธรรมดา สูตร dAlembert สูตรนี้อ่านว่า “เด-ลอง-เบ” dAlembert เป็นสูตรทางคณิตศาสตร์ที่นำมาใช้เข้ากับบาคาร่า ด้วยความเข้าใจที่ว่า “เพิ่มเงินทุกครั้งที่แทงแพ้ และลดเงินทุกครั้งที่แทงชนะ” เป็นสูตรที่อาจเห็นผลลัพธ์ได้ช้า แต่ก็พอการันตีได้ว่าคุณจะสามารถมีกำไรที่มั่นคงได้อย่างแน่นอน กฎการใช้สูตรเดินเงินนี้ก็คือ ให้แทงเพิ่ม 1 หน่วยทุกครั้งที่แทงแพ้ แต่หากตาไหนชนะ ตาต่อไปก็ให้ลดจากเดิมไป 1 หน่วย ยกตัวอย่าง สมมุติว่าเราแทงแพ้ติดกัน 5 ตา แล้วชนะติดกัน 5 ตา ลักษณะของตัวเลขก็จะเป็นแบบนี้: 1,2,3,4,5,6,5,4,3,2 โดยเราจะเห็นว่าการลดเงินในตาที่แทงชนะนั้นจะทำให้เราได้กำไรที่น้อยลง แต่นั่นก็เท่ากับว่าตอนที่เราเสียเราก็จะเสียน้อยลงเช่นเดียวกัน ทำให้มันเป็นสูตรที่มีความคงที่ในเรื่องของกำไรและเงินทุนนั่นเอง
ความเหมือนของทั้ง 3 สูตรนี้
เราจะเห็นว่าทั้ง 3 สูตรนั้นจะอยู่ในลักษณะของการ “เพิ่มเงินทุกครั้งที่แทงแพ้” เพื่อเป็นเหมือนกับการรอจังหวะที่จะเอาผลกำไรคืนกลับมา พยายามไม่ให้ต้องขาดทุนมากจนเกินไปหรือไม่ขาดทุนเลย กล่าวคือทั้ง 3 สูตรนั้นแทบจะการันตีเพื่อนๆ ได้เลยว่าจะต้องได้รับผลกำไรจากการเล่นอย่างแน่นอน นอกเสียจากว่าเพื่อนๆ จะแพ้ติดๆ กันหลายๆ ตามากจริงๆ และเตรียมเงินทุนมาไม่พอเล่นต่อ เพราะอย่างนั้นทั้ง 3 สูตรที่กล่าวมาข้างต้นจึงมีระดับความเสี่ยงที่ถือว่าใกล้เคียงกันเอามากๆ แล้วสูตรไหนจะเหมาะกับเรา? ขอเริ่มจากสูตร dAlembert ก่อนเพราะมันอาจมีวิธีใช้ที่แตกต่างจากอีก 2 สูตรอย่างเห็นได้ชัด และมันเป็นสูตรที่ทำให้เราไม่ต้องใช้เงินทุนที่สูงมากนักก็สามารถเล่นซ้ำหลายตาได้ แต่อย่างที่บอกไปว่าสูตรนี้จำเป็นต้องใช้ความใจเย็นสูงมากเพราะมันใช้เวลาในการคืนผลกำไรก้อนใหญ่ที่ค่อนข้างช้า หากใครเป็นคนที่พอมีเวลา ไม่รีบร้อน แต่ต้องการเงินทุนที่มั่นคงมีมาให้เรื่อยๆ สูตรนี้ก็อาจถือว่าตอบโจทย์ ต่อด้วยสูตร Martingale แบบธรรมดา แม้ความเสี่ยงอาจไม่ต่างกัน แต่สูตรนี้จำเป็นต้องเตรียมเงินทุนเยอะกว่าสูตร dAlembert สักเล็กน้อยหากใครต้องการเล่นนานๆ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าในแต่ละครั้งที่เราแทงแพ้มันจะต้องทบเงินทุนเพิ่มจากเดิมถึง 2 เท่า ทำให้ยอดเงินของเราอาจจะบานปลายไปมากหากแพ้ติดๆ กัน ทว่าถ้าเพื่อนๆ มีเงินทุนที่มากพอมันก็การันตีได้ว่าพลิกกลับมาชนะเมื่อไหร่ กำไรก็จะเข้ามาเมื่อนั้นในทันที อาจไม่ต้องรอนานเท่ากับสูตร dAlembert และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด สูตร Super Martingale ก็ถือว่าเป็นสูตรที่น่าจะต้องเตรียมเงินทุนเอาไว้เยอะที่สุดเมื่อเทียบกับสองสูตรก่อนหน้านี้ เพราะนอกจากเราจะต้องทบ 2 เท่าทุกครั้งที่แพ้แล้ว เรายังต้องบวกเพิ่มไปอีก 1 หน่วยเรื่อยๆ ด้วย แต่ถามว่าพอพลิกกลับมาชนะได้ กำไรที่เข้ามาให้เราเห็นก็อาจทำให้เพื่อนๆ รู้สึกปิติยินดีมากกว่าสองสูตรก่อนหน้านี้นั่นแหละนะ มมันจึงถือว่าเป็นสูตรที่หากำไรได้ไว ถ้าหากมีเงินทุนที่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม จะเลือกใช้สูตรไหนอันนี้ก็อาจต้องขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน และแนะนำว่าหากมีเทคนิคการอ่านไพ่ต่างๆ มาประกอบด้วยมันก็จะช่วยได้มากเลย |