หากเพื่อนๆ คนไหนเคยศึกษาเกี่ยวกับสูตรเดินเงินไพ่บาคาร่ากันมาบ้าง ก็คงจะเคยเห็นว่าระดับความเสี่ยงของสูตรเดินเงินส่วนใหญ่นั้นจะมีความคงที่ สูตรไหนความเสี่ยงสูงก็คือสูง ต่ำก็คือต่ำ เราไม่สามารถปรับเพิ่มหรือลดความเสี่ยงในสูตรนั้นๆ ได้ แต่ในวันนี้ เรากำลังจะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักกับสูตรที่เราสามารถปรับระดับความเสี่ยงสูง-ต่ำได้ด้วยตัวเอง และต้องบอกเลยว่ามันเป็นสูตรที่เข้าใจได้ไม่ยาก เรียนรู้ได้ง่าย และใช้ได้ทั้งกับหน้าใหม่หรือหน้าเก่ากันเลยนะ
เรากำลังพูดถึงสูตรที่มีชื่อว่า “สูตรเดินเงิน Labouchere” (ลา-บู-เชอร์) สูตรไพ่บาคาร่าที่เราปรับโครงสร้างของสูตรเองได้คล้ายๆ กับบางสูตรที่เพื่อนๆ อาจเคยใช้กันมาก่อนหน้านี้ แต่ความพิเศษที่ทำให้มันดูเหนือกว่าสูตรไหนๆ ก็เพราะมันสามารถปรับความเสี่ยงในการเดิมพันได้ด้วย ความเสี่ยงสูง ผลกำไรก็จะสูงตาม แต่หากความเสี่ยงต่ำ ผลกำไรที่ได้ในแต่ละครั้งก็จะลดน้อยลง มันจึงอยู่ที่ว่าเพื่อนๆ อยากเล่นยาวๆ ค่อยๆ เก็บเกี่ยวกำไรไป หรืออยากเล่นไวๆ แล้วได้กำไรมาทีละเยอะๆ อันนี้เราก็สามารถเลือกได้เองเลยนะ ตอนนี้หลายๆ คนคงรู้สึกสนใจเจ้าสูตรนี้ขึ้นมากันแล้วอย่างแน่นอน และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาสาธยายให้ยืดยาว เราลองไปชมวิธีการใช้เจ้าสูตรเดินเงินที่ว่านี้กันดูเลย ใช้ยังไง? กฎการใช้สูตรเดินเงิน Labouchere แบ่งออกมาได้เป็น ข้อ ดังนี้ 1.เราจะต้องกำหนดเป้าหมายเอาไว้ตั้งแต่ก่อนเริ่มเดิมพันในวันนั้น เช่นสมมุติว่าวันนี้เราอยากได้กำไรสัก 2,000 บาทก็ให้ตั้งเอาไว้ตั้งแต่แรกเลย 2.นำกำไรที่ต้องการมาแบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆ ให้ได้ไม่เกิน 10 จำนวน แล้วเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ยกตัวอย่างเช่น กำไร 2,000 บาท แบ่งออกมา 6 จำนวน เท่ากับ: 100, 200, 300, 400, 500, 500 เราจะเห็นว่าตัวเลขเงินที่เราแบ่งออกมานั้นสามารถซ้ำกันได้ และเมื่อนำเลขทั้งหมดมารวมกัน มันก็จะได้เท่ากับ 2,000 บาทพอดีเป๊ะ 3.จากนั้นให้เราเริ่มแทงตาแรกด้วยการ “นำเลขหน้าสุด+เลขหลังสุด” เช่น 100+500 เท่ากับ 600 บาท นั่นคือจำนวนเงินที่เราจะแทงในตาแรกนี้ 4.หากตาไหนแทงได้ก็ให้ลบ 2 ตัวเลขนั้นออกไป เช่น เมื่อกี้เราแทงไป 600 แล้วชนะ เราก็ลบเลขที่ใช้บวกกันในตอนแรก (100 กับ 500) ออกไปซะ มันก็จะเหลือ 200, 300, 400, 500 แล้วเราก็ทำเหมือนเดิมกับข้อที่ 3 คือ เอาเลขหน้าหลังมาบวกกันเป็น 200+500 เท่ากับว่าตานี้เราต้องแทง 700 นั่นเอง และถ้าแทงถูกก็ให้ลบสองเลขที่ใช้ออกไปอีก (แต่หากเหลือเลขตัวสุดท้ายตัวเดียวก็ให้แทงตามนั้นไปเลย) ถ้าเราสามารถลบเลขออกได้จนหมด นั่นหมายความว่าเราก็จะได้กำไร 2,000 บาทตามที่ตั้งเป้าเอาไว้แล้ว 5.แต่หากตาไหนแทงแพ้ เราก็ต้องเพิ่มเลขเข้าไปตามจำนวนเงินที่แทงในตานั้นๆ เช่น เราแทงไป 600 เราก็ต้องเพิ่มเลขเข้าไปเป็น 100, 200, 300, 400, 500, 500, 600 แล้วตาต่อไปเราก็เอาเลขหน้าหลังมาบวกกัน 100+600 เท่ากับว่าตานี้เราต้องเล่น 700 ถ้ายังแพ้อีกก็ต้องเพิ่มเลขเข้าไปอีกเป็น 100, 200, 300, 400, 500, 500, 600, 700 ทั้งหมดนี้ก็คือกฎและตัวอย่างการใช้สูตรเดินเงิน Lebouchere เทคนิคกระจายความเสี่ยง หากเพื่อนๆ รู้สึกว่าการเดิมพันครั้งละเยอะๆ นั้นมันดูจะเสี่ยงเกินไป เราก็สามารถกระจายตัวเลขออกไปให้มากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงลงได้ ยกตัวอย่างเช่น กำไรที่ต้องการเท่าเดิมคือ 2,000 บาท แต่เราจะแบ่งตัวเลขออกไปเพื่อลดความเสี่ยง แบบนี้: 100, 100, 200, 200, 200, 300, 300., 300, 300 จากที่ก่อนหน้านี้เราแบ่งออกมาเป็นตัวเลข 6 จำนวน เราก็เปลี่ยนมาเป็น 9 จำนวนแทน ทำให้ในแต่ละตาเราลงเดิมพันน้อยลง เท่ากับเป็นการลดความเสี่ยง ไม่ต้องกลัวเสียทีละมากๆ แต่ว่าเราก็จะต้องชนะบ่อยยิ่งขึ้นเพื่อให้ได้ผลกำไรตามที่ตั้งเป้าเอาไว้ ข้อดี&ข้อเสีย สรุปส่งท้ายกับข้อดีและข้อเสียของสูตรเดินเงิน Labouchere ข้อดีที่เห็นได้ชัดเลยคือเพื่อนๆ สามารถปรับความเสี่ยงของสูตรได้ตามใจชอบ หากใครอยากได้กำไรไวๆ ก็อาจแบ่งเลขน้อยๆ ลงทีละเยอะๆ แล้วกินกำไรแบบชนะติดกันรวดเดียวจบ แต่ถ้าใครอยากความเสี่ยงน้อยๆ ค่อยๆ ลงก็เพียงแค่แบ่งตัวเลขออกมาเยอะหน่อย ค่อยๆ เล่นไป กินทีละนิดๆ จนครบ แต่ข้อเสียสำหรับสูตรนี้ก็คือ หากเราแพ้บ่อยกว่าหรือแพ้ติดๆ กัน มันจะยิ่งบั่นทอนจิตใจและงบประมาณของเราไปเรื่อยๆ และตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมาก็อาจทำให้เรารู้สึกท้อและเหนื่อยกับการวางเดิมพัน บางครั้งความเสียหายนั้นอาจทำให้เราต้องสูญเสียเงินทุนทั้งหมดไปได้เลย ทางที่ดีคือต้องอย่าลืมมีสติหรือมีสูตรอ่านไพ่เตรียมเอาไว้ ไม่อย่างนั้นก็ควรมีเงินทุนมากๆ สำรองไว้เผื่อการผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
0 Comments
สำหรับเพื่อนๆ หลายคนที่คลิกเข้ามาอ่านบทความนี้ แน่นอนว่าก็คงจะต้องรู้จักกับสูตรที่มีชื่อว่า Martingale กันมาก่อนอยู่แล้ว เพราะมันเป็นสูตรเดินเงินที่อาจเรียกได้ว่าได้รับความนิยมมากที่สุดสูตรหนึ่งเลย เป็นสูตรที่ใช้งานได้ง่าย เหมาะกับเกมพนันหลายๆ ชนิด โดยเฉพาะกับเกมไพ่บาคาร่า
และจากความนิยมนั้นเองที่ทำให้สูตร Martingale ได้ถูกนำไปดัดแปลง ปรับลูกเล่นนิดหน่อยจนแตกออกมาเป็นอีก 2 สูตรเดินเงินเพิ่มเติม ได้แก่ “สูตร Super Martingale” และ “สูตร Winning Martingale” นั่นเอง โดยทั้งสองสูตรนี้จะยังคงความเป็น Martingale เอาไว้ การใช้สูตรบาคาร่า เพียงแต่ว่าอาจจะมีการเปลี่ยนหรือเพิ่มกฎบางอย่างเข้ามาเล็กน้อย แต่หากใครเข้าใจเกี่ยวกับสูตร Martingale แบบทั่วไปอยู่แล้ว การจะทำความเข้าใจอีก 2 สูตรนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้วล่ะนะ แต่เมื่อมันมีแยกออกมา ปัญหาที่หลายๆ คนสงสัยก็คือ ตัวเราเองจะเหมาะกับสูตรไหนในสามสูตรนี้กันหนอ? และในวันนี้เราก็จะมาเคลียร์ปัญหาดังกล่าวไปพร้อมๆ กัน แต่ก่อนอื่นเลย เราลองไปทำความรู้จักกับทั้ง 3 สูตรนี้กันนิดๆ หน่อยๆ ก่อนดีกว่านะ 1.สูตร Martingale แน่นอนว่ามันต้องเริ่มจากการพูดถึงสูตร Martingale แบบธรรมดากันเป็นอันดับแรก ซึ่งอย่างที่หลายๆ คนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าสูตร Martingale นั้นจะบังคับให้เรา “เพิ่มเงินเดิมพัน 1 เท่า ทุกครั้งที่แทงแพ้” เป็นกฎที่ช่วยการันตีได้ว่าเราจะได้รับผลกำไรคืนกลับมาอย่างแน่นอนในตอนที่พลิกกลับมาชนะ ตัวอย่างการใช้สูตร Martingale ก็คือ สมมุติว่าเราแทงตาแรก 1 หน่วยแล้วแพ้ ตาต่อไปแทง 2 หน่วย แพ้อีก ตาต่อไปแทง 4 หน่วย แพ้อีก ตาต่อไปแทง 8 หน่วย ยังแพ้อยู่ ตาต่อไปแทง 16 หน่วย แล้วตานี้ก็ชนะจนได้ เราก็จะได้เงินทุนคืนกลับมาทั้งหมด พร้อมกับกำไร 1 หน่วย หลังจากนั้นก็ให้เรากลับไปเริ่มแทงที่ 1 ใหม่อีกครั้ง ถ้าแทงชนะก็ให้แทงเท่าเดิมไปเรื่อยๆ ประมาณนี้ 2.สูตร Super Martingale เห็นแค่ชื่อแล้วเพื่อนๆ ก็คงพอเดากันได้ว่าสูตรนี้จะต้องเป็นอะไรที่สุดยอดกว่าสูตร Martingale แบบปกติอย่างแน่นอน ซึ่งมันก็จริงถ้าหากเราพูดถึงในเรื่องของผลกำไรที่จะได้คืนกลับมา ความเสี่ยงและเงินลงทุนที่สูงยิ่งกว่า เพราะกฎเหล็กของสูตรนี้บอกเอาไว้ว่า “เพิ่มเงินเดิมพัน 1 เท่า และบวกเพิ่มอีก 1 หน่วย ทุกครั้งที่แทงแพ้” สังเกตเห็นความต่างกันมั้ย? มันมีขั้นตอนเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยในกรณีที่เราแทงเสีย คือนอกจากที่เราจะต้องทบ 1 เท่าแล้ว เรายังต้องบวกเพิ่มไปอีก 1 หน่วยด้วย ซึ่งวิธีการนี้จะการันตีได้ว่าเราได้กำไรอย่างแน่นอน และถ้ายิ่งแพ้ติดกัน กำไรที่ได้ตอนพลิกกลับมาชนะก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ยกตัวอย่าง เราแทงตาแรก 1 หน่วย แล้วแพ้ ตาต่อไปแทง 3 หน่วย (2+1) แล้วแพ้อีก ตาต่อไปแทง 7 หน่วย (6+1) แล้วแพ้อีก ตาต่อไปแทง 15 หน่วย (14+1) แล้วยังแพ้อยู่ ตาต่อไปเลยแทง 31 หน่วย (30+1) จนกระทั่งตานี้ชนะ เราก็จะได้เงินทุนคืนกลับมา พร้อมกับ “กำไรตั้งต้น+กำไรจากจำนวนตาที่แพ้ติดกัน” เท่ากับ “1+4” เป็น 5 หน่วยนั่นเอง 3.สูตร Winning Martingale สำหรับสูตรนี้ต้องเรียกว่าตรงกันข้ามกับสูตร Martingale ธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด วิธีการที่ใช้นั้นอาจไม่ต่างกัน แต่มันไปเปลี่ยนตรงว่าต้องใช้ในกรณีไหน อย่าง 2 สูตรก่อนหน้านี้ เพื่อนๆ จะเห็นว่าเราต้องเพิ่มเงินในตอนที่แพ้ แต่สำหรับกฎของสูตร Winning Martingale นั้นมันบอกเอาไว้ว่า “เพิ่มเงินเดิมพัน 1 เท่า ทุกครั้งที่แทงชนะ” แล้วถ้าแทงแพ้ก็ค่อยเริ่มแทงจาก 1 ใหม่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะชนะ เห็นมั้ยล่ะ ตรงกันข้ามจริงๆ โดยมันจะไม่ได้การันตีว่าเราจะได้ผลกำไรอย่างแน่นอน แต่มันทำให้เรามั่นใจได้ว่าเราจะได้กำไรคืนกลับมาเยอะมากๆ ถ้าหากชนะติดกันได้ และจะเสียแค่ 1 หน่วยในตอนที่แพ้เท่านั้นเอง ยกตัวอย่าง ตาแรกเราเริ่มแทงจาก 1 หน่วย แล้วชนะ ตาต่อไปแทง 2 หน่วย ชนะอีก ตาต่อไปแทง 4 หน่วย ชนะอีก ตาต่อไปแทง 8 หน่วย ยังชนะอยู่ จากนั้นจึงหยุดแทง เท่ากับว่าเราได้กำไรมาทั้งสิ้น 15 หน่วยจากเงินทุนแค่ 1 หน่วย ในการแทงเพียงแค่ พอเราหยุดที่ตานี้ ตาต่อไปจึงค่อยเริ่มแทงจาก 1 ใหม่อีกครั้ง เป็นการใช้ทุนบวกกำไรเดิมพันสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ไม่ว่าเราจะแพ้ตาไหน มันก็เท่ากับว่าเราเสียทุนไปแค่ 1 หน่วยเท่านั้นเอง แล้วแบบนี้เราควรใช้สูตรไหนกัน? ขอเริ่มพูดจากสูตรที่ดูต่างจากชาวบ้านมากที่สุด นั่นคือสูตร Winning Martingale ด้วยวิธีการใช้แล้ว สูตรนี้ไม่ได้การันตีว่าเราจะได้รับกำไรที่คงที่ แต่มันจะทำให้เราได้รับกำไรเยอะขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนตาที่เราแทงชนะติดกัน และตอนเสียนั้นเราก็จะเสียทุนแค่ครั้งละ 1 หน่วยเท่านั้นเอง ซึ่งถือว่าเป็นสูตรที่คุ้มค่าต่อการเสี่ยง ความเสี่ยงต่ำแต่อาจได้กำไรทีละสูงๆ ส่วนสูตร Martingale และ Super Martingale นั้น สูตรบาคาร่าออนไลน์ ทั้งสองสูตรนี้มีความเหมือนกันอยู่มากๆ การันตีได้ว่าต่อให้เราแพ้ติดกันมามากแค่ไหน เราก็จะได้กำไรคืนกลับมาในตอนที่ชนะอย่างแน่นอน สิ่งสำคัญคือเราเตรียมเงินทุนไว้มากพอเผื่อโอกาสแพ้ติดกันบ่อยๆ หรือยัง ถ้ามีอยู่แล้ว 2 สูตรนี้ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี ต่างกันเพียงแค่อยากได้กำไรคงที่แค่ 1 หน่วยแบบสูตร Martingale หรืออยากได้กำไรที่เยอะขึ้น แต่ความเสี่ยงและเงินทุนก็อาจต้องเพิ่มขึ้นด้วย อย่างนั้นแนะนำให้ใช้สูตร Super Martingale เลยจ้า |